คลัง - พาณิชย์ ออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ลดภาระหนี้ ลดค่าใช้จ่าย สร้างอาชีพ ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อหารือผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่เสียหายหนักและกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ที่ประชุมได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ครอบคลุมทั้งมาตรการด้านการลดภาระหนี้ ลดค่าใช้จ่าย ประกันภัย การประกอบอาชีพ และการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค โดยยึดหลักความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ภายใต้แนวคิด “Quick Big Recovery” พร้อมเร่งฟื้นฟูเมืองและช่วยเหลือประชาชนทุกด้าน โดยกำหนดแผนเป็น 3 ระยะ คือระยะที่ 1: 

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระยะที่ 2 และ 3 การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน เพื่อให้ภาคประชาชน ธุรกิจ และเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาตรการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน 

ส่งสิ่งของจำเป็นให้ประชาชนใน 6 จังหวัดภาคใต้ ระยะเยียวยา จัดงาน “เยียวยาลดค่าครองชีพ–สร้างอาชีพ” 

ลดราคาสินค้าจำเป็น สูงสุด 80% และระยะฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นฟูกิจการได้โดย

ไม่ติดขัด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 วงเงิน 3.788 ล้านล้านบาท ที่อยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบาย 5 ด้านของรัฐบาล

รายละเอียด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 6/2568 โดยมีคณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในเรื่องของเศรษฐกิจ จังหวัด ผู้ประกอบการ และประชาชน จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมประชุมกับคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สมาคมทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลงพื้นที่เพื่อให้ได้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น และเร่งทำการฟื้นฟูให้กลับมามีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างรายได้และทำให้โอกาสต่าง ๆ กลับคืนจังหวัด และเร่งนำประชาชนกลับเข้าบ้านให้เร็วที่สุด

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ได้นำนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และทีมงานด้านเศรษฐกิจ ลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ เพื่อสำรวจความเสียหาย และหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อวางแผนการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ รวมถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยภาคเอกชน 

ทั้งสภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าจังหวัด ได้มีข้อเสนอที่อยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุน โดยให้นายเอกนิติ 

รับข้อเสนอต่าง ๆ ของภาคเอกชน ไปเร่งจัดทำแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้เริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นมาก โดยจะใช้มติของที่ประชุม กนศ. เร่งดำเนินการเพื่อที่จะนำเสนอให้ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 พร้อมขอเน้นย้ำถึงการช่วยเหลือฟื้นฟูจะต้องเร่งดำเนินการไปข้างหน้า แต่จะต้องเร่งดูแลทั้งการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต ให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด และต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพของผู้ประสบอุทกภัย ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่น ๆ เช่น การปรับปรุงวิธีการเตือนภัยอย่างเร่งด่วน ซึ่งได้หารือกับ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว จะได้ไปหาแนวทาง วิธีการ และหาแพลตฟอร์มในการยกระดับการเตือนภัยให้เร่งด่วนและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเรื่องสำคัญในเบื้องต้นที่จะเร่งดูแลประชาชน คือ การจ่ายเงินเยียวยา ทั้งเยียวยาในรายครัวเรือนและของผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนองบประมาณ

ในการเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและครอบครัวผู้ประสบภัยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 ธันวาคม 2568

โดยที่ประชุมได้รับทราบมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย และมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS “SME Spring Board by สสว.” และ มาตรการ “THAI SME-GP Plus” ซึ่งจะได้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

ภายหลังการประชุม นายเอกนิติ เปิดเผยว่า มาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ครอบคลุมทั้งมาตรการด้านการเงิน ภาษี การประกันภัย การประกอบอาชีพ และการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค โดยยึดหลักความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ภายใต้แนวคิด “Quick Big Recovery” มีรายละเอียด ดังนี้

ระยะที่ 1: การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน เป็นการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ได้แก่ (1) การจัดหาสิ่งของอุปโภคและบริโภคจำเป็นและขาดแคลน (2) การจัดหาที่พัก/ศูนย์พักพิง (3) การจัดหาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต เป็นต้น (4) การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยการดำเนินมาตรการภาษีสนับสนุนการบริจาค และ (5) การเร่งรัดให้จ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน 

ระยะที่ 2 - 3: การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการประคับประคองและบรรเทาภาระความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่อย่างรอบด้าน เพื่อให้ภาคประชาชน ธุรกิจ และเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยมีการดำเนินการ ดังนี้ 

1. การลดภาระหนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 

12 เดือน โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาการพักชำระหนี้ (คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี) รายละไม่เกิน 1,000,000 บาท ต่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

2. การเก็บเงินไว้ในกระเป๋า/ส่งเงินให้ถึงมือ เช่น การให้สินเชื่อเพื่อเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ 

เป็นสินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้วงเงินกู้เดิมกับธนาคาร (ลูกหนี้เดิม) รายละไม่เกิน 1 แสนบาท ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก การให้สินเชื่อเพื่อฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก

3. การลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักรและชิ้นส่วนเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัย การยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุ

ที่ประสบอุทกภัย การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาที่ทำจัดซื้อจัดจ้าง การลดค่าน้ำประปาในพื้นที่อุทกภัย 

การเตรียมจัดงานธงฟ้าเยียวยาค่าครองชีพ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดหลังน้ำลดและอุปโภคบริโภคจำเป็น เป็นต้น

4. ด้านอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจตรวจสอบความปลอดภัยตามที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างระบบท่อน้ำ ระบบไฟฟ้า รางรถไฟ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด เป็นต้น พร้อมทั้งได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินอื่น ๆ ที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป

ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มาตรการในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วยการช่วยเหลือ–เยียวยา–ฟื้นฟูผู้ประสบภัยภาคใต้ แบ่งเป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1: ช่วยเหลือเร่งด่วน (ดำเนินการแล้ว) กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนและมณฑลทหารบก

ที่ 42 จัดส่งสิ่งของจำเป็นเข้า 6 จังหวัดภาคใต้ ครอบคลุมสงขลา สตูล พัทลุง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส 

ระยะที่ 2: การเยียวยา (ธันวาคม 2568 – มกราคม 2569) 

1. จัดงาน “เยียวยาลดค่าครองชีพ” และ “สร้างอาชีพ” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ทำความสะอาด เครื่องใช้ไฟฟ้า และวัสดุก่อสร้าง เปิดจุดขาย Mobile Unit 3 จุด ครอบคลุมพื้นที่ที่เข้าถึงยาก จัดบูธแฟรนไชส์ พร้อมทุนสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ SME D Bank และจัดบูธ ธนาคารให้คำปรึกษาการเข้าถึงสินเชื่อ

2. จัดแคมเปญลดราคาวัสดุก่อสร้างสูงสุด 80% ร่วมกับไทวัสดุ โฮมโปร ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ เมกาโฮม รวม 40 สาขาในภาคใต้ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อช่วยลดภาระซ่อมแซมบ้านเรือน

ระยะที่ 3: การฟื้นฟูเศรษฐกิจ 

- ส่งเสริมอาชีพผ่านแฟรนไชส์ราคาประหยัด 

- เปิดจุดจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ 20 ครั้ง และจัดงานแสดงสินค้าภาคใต้ 4 ครั้ง ในสงขลา กระบี่ ตรัง พัทลุง พร้อมไลฟ์สด การจับคู่ธุรกิจ และคลินิกสินเชื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ 

- จัดงานสินค้าจังหวัดชายแดนใต้ในกรุงเทพฯ  

- ฟื้นฟูผู้ประกอบการสินค้า GI ที่ได้รับผลกระทบ

- ประสาน EXIM Bank จัด Mobile Unit ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาและช่วยเข้าถึงเงินทุนฟื้นฟูกิจการ

ขณะเดียวกันยังให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงพาณิชย์ เร่งอำนวยความสะดวกด้านเอกสารจดทะเบียนธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและใบอนุญาตต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นฟูกิจการได้โดยไม่ติดขัด ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการโดยตรง โดยมีข้อเสนอทั้งด้านซอฟต์โลน การผ่อนชำระหนี้ การลดหย่อนภาษี ตลอดจนการฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และกิจกรรม MICE ในพื้นที่ 

นอกจากนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดการสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้จำนวน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2569 เพียง 7,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพัน และรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายจำนวนมาก ซึ่งการจัดทํางบประมาณนี้จะทําให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญ แก้ไขปัญหาสําคัญให้กับประชาชน วางรากฐานให้กับประเทศ โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง 

ปี 2569-2573 ที่ต้องการการลดการขาดดุลของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลในอนาคตและรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม อยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้น 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ 

1. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่าย การเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง และการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ OECD เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ 

2. ด้านความมั่นคง เน้นแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ดำเนินนโยบายการต่างประเทศ

เชิงรุกพาประเทศไทยกลับสู่เวทีโลก 

3. ด้านสังคม จัดการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางเทคโนโลยี อาชญากรรมข้ามชาติ และยาเสพติด รวมทั้งป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ 

4. ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) 

ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของทุกประเทศ โดยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 ภายในปี 2593 ด้วยการดำเนินมาตรการ ลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล

5. ด้านการบริหารภาครัฐ ปฏิรูปกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การให้บริการต่าง ๆ ต้องมีความสะดวก รวดเร็ว มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ

นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญการวางรากฐานของประเทศ ทั้งด้านการศึกษา ต้องพัฒนาศักยภาพของคนไทยได้ตลอดช่วงชีวิต ระบบสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางอากาศ ราง ถนน และทางน้ำ รวมถึงสนับสนุนพลังงานทดแทน ยกระดับความสามารถการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar