เตือนน้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำ ช่วงวันที่ 25 - 30 เมษายน 2567

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เตือน และเฝ้าระวัง น้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำ ช่วงวันที่ 25 - 30 เมษายน นี้

1. เสี่ยงน้ำท่วมบริเวณชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราว บริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ 

2. เฝ้าระวังน้ำเค็มรุกล้ำส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำใช้อุปโภค-บริโภค และการเกษตร

• แม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร  นนทบุรี และปทุมธานี 

• แม่น้ำแม่กลอง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม 

• แม่น้ำท่าจีน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และนครปฐม 

• แม่น้ำบางปะกง ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี

ใกล้สิ้นสุดช่วงฤดูแล้งสิ้นเดือน เม.ย.แหล่งน้ำทั่วประเทศเหลือ 55 %

     วันที่ 24 เมษายน 2567 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยว่า ขณะนี้ใกล้จะสิ้นสุดช่วงฤดูแล้งแล้วในสิ้นเดือนเมษายน นี้ โดยปัจจุบันมีปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ 45,099 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 55% ของความจุ น้อยกว่าเมื่อปีที่แล้วอยู่ 2% ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ประเทศไทยจะมีฝนตกน้อยกว่าค่าปกติจากอิทธิพลของสภาวะเอลนีโญ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางแผนกักเก็บน้ำในช่วงต้นฤดูแล้งไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูแล้งนี้ 

     ทั้งนี้ แนวโน้มของปริมาณฝนจะเริ่มเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป ปัจจุบันมีอ่างเก็บน้ำบางแห่งที่มีปริมาณน้ำน้อย 

• อ่างฯ ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนคลองสียัด และเขื่อนจุฬาภรณ์ 

• อ่างฯ ขนาดกลางอีก 85 แห่ง 

• ยังคงต้องมีการสำรองปริมาณน้ำไว้สำหรับช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากมีโอกาสเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงได้ 

      ดังนั้น จึงขอความร่วมมือจากเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวนาปรังแล้ว ยังคงงดปลูกข้าวนาปรังรอบที่ 2 โดยขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐที่จะมีการประชาสัมพันธ์ช่วงเวลาส่งเสริมการเพาะปลูก เพื่อป้องกันปัญหาความเสี่ยงขาดแคลนน้ำซึ่งจะสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตร

ประกาศเขตภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 4 จังหวัด

       สถานการณ์ในช่วงฤดูแล้ง ปัจจุบันมีพื้นที่ตามประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวม 4 จังหวัด ได้แก่ จ.กาญจนบุรี จ.ชลบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.บุรีรัมย์ (ประกาศภัยแล้งเพิ่มเติม ต.บ้านตะโก อ.ห้วยราช และ ต.หนองแวง อ.ละหานทราย จำนวน 3 หมู่บ้าน) โดยในปีนี้ถือว่าภัยแล้งไม่ได้ขยายวงกว้างนัก ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภค ซึ่งหน่วยงานได้เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

มาตรการรองรับภัยแล้ง ปี 2566/67 – รับมือฤดูฝน

        สำหรับสถานการณ์ในภาคตะวันออก มีเกษตรกรในบางพื้นที่เริ่มประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ ได้มีการหารือร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ในการบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ จ.จันทบุรี ให้เพิ่มการระบายน้ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 

        สทนช. จะยังคงมีการลงพื้นที่เพื่อติดตามการดำเนินการตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 โดยในเดือนพฤษภาคม 2567 มีแผนจะลงพื้นที่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จ.พิษณุโลก จ.ตรัง และ จ.กระบี่ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะประสบกับสภาวะลานีญา และมีความเป็นไปได้จากสถิติในเบื้องต้นว่า มีแนวโน้มที่ประเทศไทยจะมีพายุ 1 – 3 ลูก ในปีนี้

แก้ปัญหาน้ำเค็ม 2 คลอง คาดกลับสู่สภาวะปกติสัปดาห์นี้

        ส่วนสถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำเข้าสู่คลองประเวศบุรีรมย์และคลองสาขา เนื่องจากเหตุการณ์ทำนบดินชั่วคราวปิดกั้นคลองประเวศบุรีรมย์พังทลาย ส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะใน อ.เมืองฉะเชิงเทรา อ.บ้านโพธิ์ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สทนช.จัดตั้งหน่วยบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมทั้งได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการจัดการทรัพยากรน้ำชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต จ.ฉะเชิงเทรา โดยระดมกำลังเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ทั้งการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อเร่งสูบระบายน้ำออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งรับน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำสำหรับเจือจางและไล่น้ำเค็ม รวมถึงมีการใช้จุลินทรีย์จากธรรมชาติ หรือ EM เพื่อบำบัดคุณภาพน้ำให้มีค่าความเค็มตามแนวทางของกรมประมง สำหรับให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาและสัตว์น้ำสามารถสูบน้ำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย 

ขณะนี้คุณภาพน้ำในแต่ละพื้นที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับค่าความเค็มที่ตรวจวัด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567  

• บริเวณคลองเปร็งมีค่าความเค็มลดลง เหลือเพียง 0.88 กรัมต่อลิตร จาก 19.63 กรัมต่อลิตร

• คลองประเวศฯ มีค่าความเค็ม 6.51 กรัมต่อลิตร จาก 28.04 กรัมต่อลิตร 

• คลองชวดพร้าว มีค่าความเค็ม 2.55 กรัมต่อลิตร จาก 14.40 กรัมต่อลิตร 

• เหลือเพียงบริเวณคลองพระยานาคราช 1 และ 2 และคลองพระยาสมุทร ที่ยังมีค่าความเค็มสูง จากการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มประสิทธิภาพ คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายในสัปดาห์นี้


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar